เทพ โพธิ์งาม : แบบอย่างของคนที่มีความสุขกับ “วิถีแห่งการเดินทาง”

พัค โชปรา คุรุด้านจิตวิญญาณ คนสำคัญคนหนึ่งของโลก เขียนไว้ในหนังสือ “The Seven Spiritual Laws of Success” (หรือในชื่อภาคภาษาไทยว่า “7 กฎ ด้านจิตวิญญาณ เพื่อความสำเร็จ”แปลโดย นันท์ วิทยดำรง) ว่า..

        …ความสำเร็จ คือ “วิถีแห่งการเดินทาง”…ความมั่งคั่งทางวัตถุ เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ องค์ประกอบ ที่ช่วยทำให้วิถีแห่งการเดินทางนั้น มีความสนุกสนานขึ้นเท่านั้น….

        …ความสำเร็จยังหมายรวมถึง การมีสุขภาพที่ดี การเต็มไปด้วยพลัง และความกระตือรือร้นในชีวิต การมีสมรรถภาพที่สมบูรณ์ การมีอิสระในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ การมีความมั่นคงทางอารมณ์และทางจิต การมีความรู้สึกที่ดี และการมีความสงบสุขภายในใจ…

        เมื่อวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันดังกล่าว ในหน้าบันเทิง หน้าที่ 24 มีสกู๊ป ครึ่งหน้า ซึ่งได้นำเสนอเรื่อง “เทพ โพธิ์งาม กับความล้มเหลวที่แสนภูมิใจ” แล้ว พบว่า ศิลปินตลกชื่อดัง อย่างเทพ โพธิ์งาม นั้น เป็นบุคคลผู้หนึ่งที่สามารถ “เข้าใจ” และ “เข้าถึง” หลักการ และหรือกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล ที่สำคัญประการหนึ่ง ได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งก็คือหลักการ และกฎเกณฑ์ ที่ว่า “ความสำเร็จ คือวิถีแห่งการเดินทาง” ดังที่ดีพัค โชปรา ได้เขียนไว้ นั่นเอง!!

        ดังนั้น ผมจึงใคร่ขออนุญาตคัดลอกข้อเขียนดังกล่าว มาลงไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ :-

        เป็นข่าวเป็นคราวให้สะดุ้งเฮือกกันได้เหมือนกัน เมื่อจู่ๆ ตลกรุ่นลายครามอย่าง สุเทพ โพธิ์งาม หรือ “ป๋าเทพ” ตามที่คนในวงการเรียกขาน ก็ถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายแบบไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว แต่เพียงไม่ถึงสัปดาห์ที่เราได้มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิด ตลกวัยใกล้ 60 ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะบอกว่า มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยสักนิด ไม่มีใครตาย หรือทรัพย์สินต้องสูญไปจากเหตุการณ์นี้ นั่นหมายถึงเขาไม่ได้ไปปล้น ฆ่า หรือค้ายาเสพติดให้คนอื่นต้องเดือดร้อน

        “ถ้ามันแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ติดคุกกันไป” เขาว่า
        “ไม่ตายนี่”

         อย่างที่ทราบกันว่า ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ดำรงชีวิตด้วยอาชีพนักแสดงตลกมา 30 ปี เทพก็หาอย่างอื่นทำไปด้วย ทั้งร้องเพลง, ขายน้ำข้าวกล้อง, เปิดร้านขายของชำ และอู่ซ่อมรถ ซึ่งทั้งหมดล้วนจบลงด้วยคำว่า “เจ๊ง”

        จนหลายคนส่ายหน้าตั้งคำถามเอากับเขาว่า เป็นเทพ โพธิ์งาม ซะเฉยๆ ก็น่าจะดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? จะต้องดิ้นรนให้เดือดร้อนไปทำไม?

        “คนที่คิดแบบนั้นคือคนที่ตายแล้ว”

        “เรายังกระหยิ่มในใจของเราอยู่ทุกวันว่า เขาทำได้อย่างเราหรือเปล่า คุณอาจจะร่ำรวยร้อยล้านพันล้าน แต่คุณก็ทำอย่างเดียวนะ ได้แค่นั้นเหรอ เราไม่รวย แต่ทำได้มากกว่าเยอะเลย มันเป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้น่ะ”

        “เรามาจากศูนย์ ไม่กลัวหรอกถ้าจะต้องกลับไปศูนย์อีก ยิ่งอายุมากก็ยิ่งต้องรีบทำ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ทำแล้ว ไม่ใช่ว่าอายุมากแล้วจะพัก สวรรค์ให้ทุกอย่างเรามา สมอง แขน ขา เราคงไม่เก็บไว้เฉยๆ เพราะคนที่เก็บไว้เฉยๆ คือคนโง่ คนที่หยุดคือคนที่ตายแล้ว เวลาที่เป็นมนุษย์ก็ทำไปสิ ในโลกนี้มีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ อีกกี่ร้อยชาติก็ไม่หมด”

        “คนเราคิดว่ารวยแล้วจะพอแค่นั้นเหรอ ไม่คิดจะหาประสบการณ์อะไรใหม่ๆ เลยเหรอ เขาให้โอกาสเรามาแล้ว ถ้าชาติหน้าเกิดเป็นหมูหมา ก็ไม่มีโอกาสแบบนี้แล้วนะ”

        “สมองไว้คิด มือไว้ทำ ขาเอาไว้เดิน ก็ต่อสู้กันต่อไป ร่างกายก็เอาไว้สัมผัสสิ่งที่เราต้องเจอกับประสบการณ์ว่าเดินไปตรงนี้เจ็บนะ มันจะได้มีอะไรไปสอนลูกหลานว่า อย่าเดินนะตรงนั้นมันมีหนาม”

        “บางคนต้องรอให้ทำถนนก่อนถึงไปได้ แต่เราไม่ใช่ เราไปตั้งแต่ยังไม่ถางเลย ตั้งแต่เป็นป่าละเมาะ มีหนามเลย รู้แล้วก็สอนเด็กๆ รุ่นหลังได้ว่า อย่ามา ตรงนั้นเจ็บ เรานำทางเขาว่าอย่าให้ไปเจอสิ่งที่ไม่ดีนะ แล้วก็เป็นเรื่องจริงด้วย เพราะเราไปเจอมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ตามทฤษฎีที่ใครบอกมา”

       “ทุกวันนี้คิดว่าเหมือนเราได้เรียนรู้ในมหาวิทยาลัย แต่ในมหาวิทยาลัยนี้มีอะไรให้เลือกเรียนเยอะเลย จบวิชานี้ก็ไปเรียนวิชาโน้น มันเป็นความสนุก แล้วอีกหน่อยเราก็ตาย ผมไม่ได้หวังร่ำรวย เพียงแต่ก็ทำไป จบเมื่อไรเมื่อนั้นก็คือตาย”

       ความผิดพลาดที่เอื้ออำนวยให้เกิดคำว่า “เจ๊ง” ป๋าเทพบอกว่ามันก็แค่ค่าหน่วยกิตที่ต้องเสียก็เท่านั้น

       “อาจจะแพงก็จริง แต่มันก็คือความสุข เพราะถึงเราจะเก็บเงินได้เป็นล้าน สักวันมันก็ต้องหมด ไม่ใช่ว่าตายแล้วเอาไปด้วยได้ จะมานั่งเสียใจทีหลังว่ารู้อย่างนี้น่าจะทำไอ้นั่นไอ้นี่ก็ไม่ได้แล้ว ทำเลยดีกว่า เวลาตายจะได้สบายใจ เพราะกูได้ทำมาเยอะแล้ว”

       “ไม่ใช่ว่าอยากจะทำนั่น ทำนี่ แต่เพิ่งมาคิดได้เอาตอนป่วย”

       “ความผิดพลาดจะทำให้เรามีมานะ ต่อสู้ ถ้าคนเราไม่สู้ มันก็จบน่ะสิ เดี๋ยวไปเจออะไรที่หนักกว่านั้นไม่ตายเหรอ”

        เขาบอกว่าเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นก็ยังเยอะ แต่เมื่ออายุมากขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ มามาก เจอทั้งเพื่อนฝูง คนเฒ่าคนแก่ที่ตายจากกันไป ก็คิดได้ว่า สุดท้ายมนุษย์ก็แค่นี้เองน่ะเหรอ

        “เห็นคนตายก็คิดในใจว่า มนุษย์เรานะไม่มีคุณค่าจริงๆ เลย ตายแล้วได้ทำอะไรไว้บ้างหรือเปล่า สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ที่ไม่เกี่ยวกับความร่ำรวยน่ะ ดังนั้น เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ควรจะทำอะไรที่ดีและไม่เบียดเบียนคนอื่นเอาไว้ให้มาก”

         ป๋าเทพในฐานะพ่อของลูกบอกว่า ความคิดเหล่านี้เขาไม่เคยเอาไปยัดเยียดไว้ในหัวของทายาทคนใด เพราะทางในชีวิตเมื่อ 60 ปีล่วงมา กับชีวิตที่ต้องเดินไปข้างหน้ามันต่างกัน

         “เดินไปเองเลยลูก ถ้ามันเซอย่างไรพ่อจะคอยประคอง แต่ข้างหน้าต้องเห็นเอง เจอเอง แก้ไขเอง เพราะยุคเรากับยุคเขามันคนละยุค เขาอาจจะเห็นอะไรที่มันแปลกๆ ใหม่ๆ มากกว่าที่เราเห็น อันนั้นเราผ่านมาได้แล้ว แต่ยุคใหม่นี่ลูกต้องเดินเองนะ ต้องเผชิญกับมัน ฉะนั้นหัดเอาไว้ซะ พยายามเดินให้แข็งไว้”

          “ผมเป็นคนไม่อุ้มลูก แต่ชอบมอง มองว่าเขาจะบินได้หรือยัง ปีกแข็งหรือยัง แต่ต้องบินเองนะลูก พ่อจะบินให้ดูหน่อย แต่คงไม่บินกับแกไปตลอด ต่อไปแกอาจจะบินได้ดีกว่าพ่อ”

          “ตอนนี้เราไม่ห่วงอะไรลูกแล้ว เขาโตแล้ว แต่เรามีรังอยู่นะ ลูกบาดเจ็บเมื่อไร หรือว่าบินไปชนอะไรเข้า กลับมานะลูก กลับมารังของเรา มารักษาตัวซะก่อน ดีเมื่อไรค่อยออกมาบินใหม่ ไม่ใช่ว่าอย่าบินอีกนะ บินแล้วเดี๋ยวก็กลับมาเจ็บอีก ผิดนะ พ่อแม่ที่สอนลูกแบบนี้ มันเรื่องของเขาแล้ว เราต้องสอนให้เขาบินเอง ใช้ความคิด ใช้สมอง ให้มันหลุดพ้นจากสิ่งที่มันจะเจ็บปวด”

            “ทุกวันนี้ก็พยายามทำตัวอย่างให้เห็น ว่ามันเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปทำอะไรจริงจังกับชีวิตมากนัก ทำไปเถอะ ทำอะไรได้ก็ทำไป ถ้าผลตรงนั้นมันดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีก็หาทางใหม่”

             เทพบอกว่าชีวิตวันนี้เมื่อเทียบตามสัดส่วนก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก เขาเคยเป็นพระเอกหนังตลกที่ทำงานได้มากที่สุดเมื่อ 30 ปีก่อน วันนี้ไปไหนมาไหนก็มีคนให้การยอมรับ แต่สิ่งที่ภูมิใจกับชีวิตมากที่สุดก็คือความล้มเหลวทั้งหลายทั้งปวงที่คนอื่นพากันส่ายหน้านั่นแหละ

             “มันคือกำไรชีวิตที่เราได้ทำแล้ว สัมผัสมาแล้ว ต้องเข้าใจนะว่ามันหาซื้อไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เราภูมิใจที่ได้ทำตรงนี้ การที่เราทำอะไรก็เจ๊ง ก็ล่มจม แต่มันจบไปแล้ว จะมาคิดทำไม เราทำดีที่สุดแล้ว”

              “แต่เรามาถึงตรงนี้เราก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะนะ ที่มหาวิทยาลัยชีวิตเนี่ย สิ่งที่เราได้เรียนรู้มาเนี่ยอาจจะแค่ชั้น ป.2 ป.3 เท่านั้น มันยังมีอย่างอื่นให้เราได้เรียนรู้อีกเยอะ” 

                “แต่ที่ภูมิใจกับมันก็คือ เรารู้มาแล้วว่าตรงไหนเป็นอย่างไร เดินอย่างไรเจ็บ ไปตรงไหนปวด อะไรที่เจ็บมากเจ็บน้อย เรารู้แล้วว่าต่อไปจะเดินอย่างไรให้ดีกับชีวิต”

               เมื่อได้อ่านสิ่งที่ศิลปินตลก เทพ โพธิ์งาม ได้คิด พูด และทำ ไว้ ณ ตรงนี้แล้ว ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เขาอาจไม่เคยได้อ่าน หรือศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ มามากมายอะไรนัก หรืออาจจะกล่าวได้ว่า “ไม่เคยเลย” ด้วยซ้ำไป แต่ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า เขาเป็นคนเพียงไม่กี่คน ที่สามารถเข้าใจ และเข้าถึง หลักการ และกฏเกณฑ์แห่งจักรวาล ที่สำคัญประการหนึ่ง ที่ว่า “ความสำเร็จ คือ วิถีแห่งการเดินทาง” ได้เป็นอย่างดี และตราบใดที่เขายังคงมีความสุขกับการเดินทาง ตราบนั้น ใครล่ะ? ที่จะกล้ากล่าวหาเขาว่า เขาเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ?

               เขาไม่ควรได้รับความสงสาร ความเวทนา ความเห็นใจ ความไม่เข้าใจ แต่อย่างใดเลยทั้งสิ้น ที่เขาสมควรได้รับมีเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ ได้รับ “การคารวะ” จากผม และจากทุกคน!!

 

ป๋าเทพ โพธิ์งาม กรณีของคนไม่รู้ผู้ดื้อดึง

 

คงเป็นข่าวกันพอสมควรครับกับกรณีของตลกรุ่นป๋าที่ชื่อ เทพ โพธิ์งาม ที่ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้เข้าสู่ขั้นตอนพิทักษ์ทรัพย์ต่อไปจากหนี้สินที่เขามีอยู่กับธนาคาร

ในช่วงแรก ๆ ของการได้รับทราบข่าว ประชาชนทั่วไปก็เกิดความรู้สึกสงสาร เห็นใจ และเป็นกำลังใจให้ป๋าเทพต่อสู้ต่อไป จนถึงการพยายามให้ความช่วยเหลือแก่ป๋าเท่าที่จะทำได้

เมื่อคืน รายการตาสว่างของคุณสัญญา คุณากรก็เป็นอีกรายการหนึ่งที่พยายามหาทางช่วยป๋า (และหาประโยชน์ไปในตัวด้วย)  โดยการให้ปรึกษาหารือกับมือกฎหมายของสภาทนายความ  เพื่อหาทางตั้งรับและแก้ไขสถานการณ์เท่าที่จะทำได้

แต่อากัปกริยาของป๋าเทพช่างเป็นไปตามข้อสังเกตเหมือนอย่างที่ออกรายการของคุณสรยุทธุ์เมื่อตอนเย็น  คือ ป๋าแกออกอาการ “ตะแบง” แบบข้าง ๆ คู ๆ (อาการแบบเดียวกับอดีตนายกที่ปัดความรับผิดจากการกระทำของลูกน้องเรื่องที่ดินเมื่อ 10 กว่าปีก่อน) ในความรับผิดชอบที่ตนต้องยอมรับ ทำนองว่า ไม่รู้ หรือทึกทักไปเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่รู้กระบวนการแท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับการใช้หนี้  ผสมกับอาการไม่ยอมรับผิดโดยอ้างว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม (อาการแบบเดียวกับอดีตนายกที่อ้างเพื่อหนีคดีไปรอบโลกในขณะนี้) แล้วสิ่งที่ป๋าทำให้เกิดอาการเสียอย่างยิ่งก็คือ อาการดื้อตาใส  ไม่ยอมรับคำแนะนำหรือข้อเท็จจริงจากผู้ชำนาญการในรายการ  เมื่อบวกกับอาการไม่รู้  ป๋าก็เลยมีสภาพยิ่งกลายเป็นคนเสียเครดิตในวงการบันเทิงเข้าไปอีก

ก็น่าเสียดายครับ  คนรอบข้างเขาสงสารป๋า  ให้โอกาสป๋า แต่ป๋าไม่ให้โอกาสตัวเองเลยด้วยการรับฟัง ทำความเข้าใจ และยอมรับกระบวนการต่าง ๆ ด้วยเหตุและผล  เลิกดื้อดึง อะไรที่ไม่รู้ก็ต้องยอมรับว่าไม่รู้  แล้วอาศัยความตั้งใจที่ดีเพื่อแก้ไขสถานการณ์

ได้แต่หวังเอาไว้ครับให้ป๋าแกมีสติและอารมณ์ที่เบาลง คิดอะไรให้เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤติชีวิตครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ

แต่พอได้ฟังคำพูดป๋าแล้ว ก็ต้องยอมรับครับว่า คนไม่รู้กฎหมายและไม่มีความเข้าใจเรื่องหนี้สิน แล้วก็ไม่มีที่ปรึกษาดี ๆ คอยแนะนำ ก็มีแต่โดนกับโดนเท่านั้นแหละครับ  (คล้าย ๆ กับที่ว่าโง่แล้วขยันนี่ยิ่งอันตรายครับ)